จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

หลักและวิธีการอ่าน(การอ่านป้ายประกาศ,การอ่านหนังสือพิมพ์,การอ่านบทความ)

 หลักและวิธีการอ่าน

1.              รู้จักประเภทและชนิดของเรืองทีเรากำลังอ่าน ว่าเป็นประเภทแบบใด และรู้ว่าอะไรคือสิงทีเรา ต้องค้นหาจากสื่อประเภทนี้
2.              รู้ความหมายของคำศัพท์และตีความเรืองทีอ่านได้ ซึงการศึกษาคำศัพท์เป็นสิงจำเป็นมากสำหรับ การอ่านสื่อภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถตีความและเข้าใจเรืองทีเราอ่านได้เลย หากเราไม่รู้คำศัพท์หรือไม่สามารถเดาคำศัพท์ได้
3.              จับใจความสำคัญของเรืองทีเราอ่านได้ รู้ว่าประโยคใดคือใจความสำคัญ (Main Idea) ประโยคใด คือใจความสนับสนุน(Support Sentences)
4.              มีความเข้าใจในรายละเอียดของเรืองทีเราอ่าน และสามารถตอบคำถามได้ว่าใคร ทำอะไร ทีไหน เมือไหร่ กับใคร อย่างไร เพราะอะไร
5.              ทีสำคัญทีสุด เราจะต้องสามารถสรุปเรืองทีอ่าน และแสดงความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะต่างๆ ได้
6.              อ่านโจทย์และคำตอบก่อน แล้วจึงกลับไปอ่านข้อความ เพื่อจะได้หาส่วนทีเกี่ยวข้องในข้อความ เพื่อเป็นการลดเนื้อหาทีจะหา และเป็นการประหยัดเวลาในการอ่านในส่วนทีไม่เกี่ยวข้อง

การอ่านป้ายประกาศ
ป้ายประกาศในภาษาอังกฤษมีให้เห็นทั่วไปในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ สำนักงาน หรือบริษัทห้างร้าน ซึ่งถ้อยคำและสำนวนที่ใช้ จะไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักในภาษาพูด หรือภาษาเขียน ป้าย ประกาศโดยหลักๆแบ่งบอกเป็น 4 ประเภท คือ
1. ป้ายให้ข้อมูล
     2. ป้ายสั่งให้ทำ
3. ป้ายห้ามทำ

4. ป้ายแนะนำ หรือเตือนให้ระวังอันตราย หลักในการอ่านป้ายประกาศมีดังนี้
1.              การอ่านป้ายประกาศเป็นการอ่านเพื่อเก็บข้อมูล จึงไม่จำเป็นต้องอ่านในทุกรายละเอียด
2.              วิธีการอ่านแบบผ่านๆ(Scanning) จะช่วยให้เลือกอ่านสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น
3.              ถ้ารู้ความหมายของศัพท์และคำย่อต่างๆจะอ่านได้เข้าใจดีขึ้น

ตัวอย่างป้ายประกาศ Executive Secretary
1.             Female age between 28 – 33 years
2.             Bachelor’s degree, Major in English
3.             Minimum 3 years experiences in secretarial works
4.             Fluent in English and able to handle correspondence independently
5.             Some knowledge in Administrative and Personnel preferable

Attractive  remuneration package will be offered to the right candidates     . Interested persons please write with full resume and details to :
Khun Suda Muangsook, CMC Biotech Co., Ltd.
     1433 Soi 3/3 Mooban Town–in-Town Lardphrao 94 Rd,
     Bangkapi, Bangkok  10310
     Tel : 02-559-3261-2    FAX : 02-539-6903
การอ่านหนังสือพิมพ์

คนส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่าหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก็ส่ายหน้าแล้ว  การที่มันยากอาจจะเป็น เพราะเรายังไม่รู้จักส่วนประกอบของหนังสือพิมพ์และข่าวดีพอ ถ้าหากเรารู้จักและเข้าใจมันอาจทำให้คุณ รู้สึกดีขึ้นและพร้อมที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ซึงเป็นแหล่งสาระความรู้และบันเทิงที่คุณหาอ่านได้ทุกวัน และจะ ทำให้คุณรอบรู้ทันเหตุการณ์ไม่แพ้ใคร
รูปแบบข่าวทั่วๆไปจะประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1.              ส่วนที่หนึ่งนี้เขาเรียกมันว่า Headline กันค่ะ หรือจะเรียกว่าหัวข่าว หรือข่าวพาดหัวก็ได้ ตามแต่จะถนัด เจ้าส่วนนี้จะเป็นเนื้อหาของข่าวทีสรุปความสำคัญของข่าว จะมีการใช้ศัพท์เฉพาะ โครงสร้าง ประโยคทีแตกต่างไปจากประโยคภาษาอังกฤษธรรมดา  แล้ว Headline นี้เขาจะเขียนหรือพิมพ์ด้วย ตัวหนังสือตัวโตสีดำเข้มเสมอ
2.              ต่อมาส่วนที่สองก็คือ Lead หรือข้อความนำ  ก็จะเป็นข้อความในย่อหน้าแรกของข่าวซึง จะสรุปใจความสำคัญของข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง ก็เหมือนกับการขยาย Headline   เผยให้ผู้อ่านรู้เรื้องขึ้นมาอีก นิด แต่ไม่ให้รู้หมด 
3.                                      ส่วนที่สามเรียกว่า Body จะเป็นส่วนย่อหน้าที่เหลือทังหมด จะบอกรายละเอียดของเนื้อ ข่าวว่าเขาทำอะไร อย่างไร ที่ไหน ขยายข้อเท็จจริงจากข้อความนำอีกทีหนึ่ง อาจมีข้อความที่เป็นคำพูดของ บุคคลที่ตกเป็นข่าว ข้อคิดเห็น และบทสรุปเจ้าส่วนนี้จะบอกรายละเอียดทั้งหมด หลักในการอ่านทั่วๆไปก็ คือต้องตังคำถาม What? เกิดอะไรขึ้น, Where? ทีไหน, When? เมือไหร่, Why? ทำไม, How? อย่างไร, Result? ผลเป็นอย่างไร ขณะอ่านไป จะช่วยให้เราเข้าใจข่าวได้ดีขึ้น
ตัวอย่างที 1
Australia's national football team defeated Thailand 4-0 Monday night to stay alive in the Asian Cup. Striker Mark Viduka scored twice in three minutes to give the Socceroos their much-needed win after they absorbed waves of Thai attacks. The score did not reflect the immense pressure the Socceroos had to endure in a tense second half before Viduka gave his team a lifeline into the quarter-finals. Australia now faces Asian powerhouse Japan in Hanoi on Saturday night.
คำศัพท์น่ารู้
"Stay alive" = มีชีวิตอยู่
Much-needed = ที่จำเป็นมากๆ
Absorbed = ซึมซับ, รับรู้
Endure = ยืนหยัด, คงทน Lifeline = ในที่นี้หมายถึง ประตูทีช่วยชีวิตทีมไว้ไม่ให้ตกรอบ
Powerhouse = มีอำนาจหรือมีอิทธิพลมาก
คำแปล
นักเตะแดนจิงโจ้ดับฝันทีมไทยเข้ารอบรองชนะเลิศ  ทีมฟุตบอลออสเตรเลียเอาชนะทีมไทยไปด้วย ประตู 4-0 เมือคืนวันจันทร์ ลอยลำเข้ารอบไปในศึกเอเชียนคัพ ตัวยิงประตู มาร์ค ไวดูกา ทำไปสองประตูใน เวลาเพียงสามนาที ช่วยให้ทีมจากแดนจิงโจ้ได้ชัยชนะไปในนัดชีชะตา หลังจากที่เผชิญระรอกคลื่นการบุก จากไทย การทำคะแนนไม่ได้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่ทีมนักเตะแดนจิงโจ้ต้องยืนหยัด  ใน การเตะครึ่งหลังที่ตึงเครียด ก่อนที่ไวดูกาจะดึงทีมไปสู่รอบรองชนะเลิศ ออสเตรเลียต้องไปเจอทีมไม้แข็ง ของเอเชียอย่างญี่ปุ่น ในสนามเตะที่กรุงฮานอยในคืนวันเสาร์
ตัวอย่างที 2
Apple's heavily hyped iPad went on sale Saturday in the United States. Excited customers were crowding to get their hands on what some see as a "game changer" in the computer industry. The Apple flagship store in New York greeted hundreds of people who had waited since just after dawn. Many of the shoppers were from outside the United States, which is initially the only country to sell the touch-screen tablet, retailing at between $499 and $829.
คำศัพท์น่ารู้
Hyped = ที่ถูกสร้างกระแสอย่างน่าตื่นเต้นและน่า สนใจ
To get their hands on = ได้บางอย่างมาเป็นเจ้าของ
Game changer = สิ่งที่เปลี่ยนเกม นั่นก็คือสินค้าที่เปลี่ยนรูปแบบของการแข่งขันในวงการนั้นๆ เมื่อ ออก  สู่ตลาด ทำให้คู่แข่งต้องกระตือรือร้นมากขึ้น
Flagship store = ร้านสาขาหลักและใหญ่ทีสุด
Touch-screen = จอสัมผัส
คำแปล
ไอแพดที่เป็นทีฮือฮาออกสู่ตลาดแล้วสินค้า ไอแพดที่กระแสแรงเป็นที่รอคอยของแฟนๆ แอปเปิ้ล เริ่มขายแล้วใน ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันเสาร์ทีผ่านมา  เหล่าลูกค้าที่ตื่นเต้นต่างรอเข้าคิวเพื่อที่ จะได้เป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่หลายๆ คนยกให้ว่าเป็นตัวแปรที่จะเปลี่ยน โฉมหน้าของวงการคอมพิวเตอร์ใน อนาคต  ร้าน สาขาหลักของแอปเปิลในนิวยอร์กเปิดประตูต้อนรับแฟนหลายร้อยคนที่ เริมรอต่อคิวตังแต่เช้า มืด ลูกค้าหลายๆคนลงทุนเดินทางมาจากนอกสหรัฐ อเมริกาซึงในช่วงแรกเป็นประเทศเดียวทีขายอุปกรณ์จอสัมผัสชิ้นนี้ ในราคาระหว่าง 499 ถึง 829 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ
การอ่านบทความ
การอ่านมีหลายระดับ และมีวิธีการต่าง ๆ ตามความมุ่งหมายของผู้อ่าน และประเภทของสื่อการอ่าน การอ่านเพื่อการศึกษา ค้นคว้าและเขียนรายงาน อาจใช้วิธีอ่านต่าง ๆ เช่น การอ่านสำรวจ การอ่านข้าม การ อ่านผ่าน การอ่านจับประเด็น การอ่านสรุปความและการอ่านวิเคราะห์ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. การอ่านสำรวจ คือ การอ่านข้อเขียนอย่างรวดเร็ว เพื่อรู้ลักษณะโครงสร้าง สำนวนภาษา เนื้อเรื่อง โดยสังเขป เป็นวิธีอ่านที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเลือกสรรสิ่งพิมพ์ สำหรับใช้ประกอบการค้นคว้า หรือ การหาแนวเรื่องสำหรับเขียนรายงาน และรวบรวมบรรณานุกรมในหัวข้อที่เขียนรายงาน
2. การอ่านข้าม (Skimming Reading) เป็นวิธีอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าใจเนื้อหาของข้อเขียน โดย เลือกอ่านเพียงบางตอน เช่น อ่านคำนำ สาระสังเขป บทสรุป และการอ่านเนื้อหาเฉพาะตอนทีตรงกับความ ต้องการเป็นต้น
3. การอ่านผ่าน เป็นการอ่านแบบกวาดสายตา (Scanning Reading) โดยการกวาดสายตาอย่าง รวดเร็วไปยังสิ่งที่เป็นเป้าหมายในข้อเขียนเช่น คำสำคัญ หรือ สัญลักษณ์ แล้วอ่านรายละเอียดเฉพาะที่ เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการ เช่น การอ่านเพื่อค้นหาชื่อในพจนานุกรม และการอ่านแผนที่ เป็นต้น
4. การอ่านจับประเด็น หมายถึง การอ่านเรืองหรือข้อเขียนโดยทำความเข้าใจสาระสำคัญในขณะที่ อ่าน มักใช้ในการอ่าน ข้อเขียนที่ไม่ยาวนัก เช่น บทความ การอ่านเร็ว ๆ หลายครั้งจะช่วยให้จับประเด็นได้โดยการอ่านมีเทคนิคคือต้องสังเกตคำสำคัญ ประโยคสำคัญทีมีคำสำคัญ และทำการย่อสรุปบันทึกประโยค สำคัญไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
5. การอ่านสรุปความ หมายถึง การอ่านโดยสามารถตีความหมายสิงที่อ่านได้ถูกต้องชัดเจนเข้าใจ เรืองอย่างดี สามารถแยกส่วนที่สำคัญหรือไม่สำคัญออกจากกัน รู้ว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็น ส่วนใดเป็นความคิดหลัก ความคิดรอง การอ่านสรุปความมีสองลักษณะคือ การสรุปแต่ละย่อหน้าหรือแต่ละ ตอน และสรุปจากทังเรื่อง หรือทังบท การอ่านสรุปความควรอ่านอย่างคร่าว ๆ ครั้งหนึ่งพอให้รู้เรื่อง แล้ว อ่านละเอียดอีกครั้งเพื่อเข้าใจเรืองอย่างดี หลังจากนั้นตั้งคำถามตนเองในเรื่องที่อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร มี เรื่องราวอย่างไร แล้วเรียบเรียงเนื้อหาเป็นสำนวนภาษาของผู้สรุป

6. การอ่านวิเคราะห์ การอ่านเพื่อค้นคว้าและเขียนรายงานโดยทั่วไปต้องมีการวิเคราะห์ความหมาย ของข้อความ ทั้งนี้เพราะ ผู้เขียนอาจใช้คำและสำนวนภาษาในลักษณะต่าง ๆ อาจเป็นภาษาโดยตรงมีความ ชัดเจนเข้าใจง่าย ภาษาโดยนัยที่ต้องทำความเข้าใจ และภาษาที่มีความหมายตามอารมณ์และความรู้สึกของ ผู้เขียน ผู้อ่านทีมีความรู้เรื่องคำศัพท์และสำนวนภาษาดี มีประสบการณ์ ในการอ่านมากและมีสมาธิในการ อ่านดี ย่อมสามารถวิเคราะห์ได้ตรงความหมายทีผู้เขียนต้องการสื่อ และสามารถเข้าใจเรื่องทีอ่านได้ดี นักอ่านที่ดีควรรู้จักเลือกว่าเมื่อใดควรอ่านละเอียด เมื่อใดควรอ่านคร่าวๆ บางเรื่องต้องการความเข้าใจลึกซึง บางเรื่องไม่จำเป็นต้องอ่านละเอียด บางเรื่องอ่านเพียงเพื่อจับใจความสำคัญเท่านั้น วิธีการช่วยให้อ่านได้เร็ว ขึ้น  คืออ่านนำร่อง ( Pre-reading ) Pre-reading  อ่านอย่างเร็วเพื่อให้ได้ภาพรวมๆของเรื่อง ทำได้ดังนี้

1.              อ่านชื่อเรื่องและหัวข้อรอง( Title and subtitle )
2.              อ่าน paragraph แรก
3.              สังเกตพวกภาพประกอบถ้ามีได้แก่ กราฟ รูปภาพ ไดอะแกรม เป็นต้น
4.              อ่านประโยคแรกและสุดท้ายของแต่ละ paragraph ที่เหลือ
5. อ่าน paragraph สุดท้ายหรือสรุปเรื่องเพราะเป็นตัวช่วยทีจะบอกใจความสำคัญหรือจุดประสงค์ของเรื่อง
6. ในขณะทีอ่านลองตังคำถามในใจดังนี้
- คุ้นเคยกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ถ้าคุ้นเคยจินตนาการตามไปด้วย
-เรืองทีอ่านเป็นเรืองทางวิทยาศาสตร์ สังคม หรืออะไร
�.                             จุดประสงค์ของผู้แต่งคืออะไร
�.                             หาใจความหลักได้หรือไม่
                 -ตังคำถามอะไรได้บ้างในเรืองทีอ่านนี้
ตัวอย่างการอ่านบทความ
What do Leonardo da Vinci, Paul McCartney, and Julia Roberts have in common? They are all left-handed. Today about 15 percent of the population is left-handed. But why are people left-handed? The answer may be in the way the brain works.
Our brain is like a message center. Each second, the brain receives more than a million messages from our body and knows what to do with them. People think that the weight of the brain tells how intelligent you are, but this isn't true. Albert Einstein's brain weighed 1,375 grams, but less intelligent people have heavier brains. What is important is the quality of the brain. The brain has two halves - the right brain and the left brain. Each half is about the same size. The right half controls the left side of the body, and the left half controls the right side of the body. One half is usually stronger than the other.  One half of the brain becomes stronger when you are a child and usually stays the stronger half for the rest of your life.
The left side of the brain controls the right side of the body, so when the left brain is stronger, the right hand will be strong and the person may be right-handed. The left half controls speaking, so a person with a strong left brain may become a good speaker, professor, lawyer, or salesperson. A person with a strong left brain may have a strong idea of time and will probably be punctual. The person may be strong in math and logic and may like to have things in order. He or she may remember people's name and like to plan things ahead. He or she may be practical and safe. If something happens to the left side of the brain, the person may have problems speaking and may not know what day it is. The right side of his or her body will become weak.
When the right side of the brain is stronger, the person will have a strong left hand and may be left-handed. The person may prefer art, music, and literature. The person may become an artist,  a writer, an inventor, a film director, or a photographer. The person may recognize faces, but not remember names. The person may not love numbers or business. The person may like to use his or her feelings, and not look at logic and what is practical. If there is an accident to the right side of the brain, the person may not know where he or she is and may not be able to do simple hand movements. 

This does not mean that all artists are left-handed and all accountants are right-handed. There are many exceptions. Some right-handers have a strong right brain, and some left-handers have a strong left brain. The best thing would be to use both right and left sides of the brain. There are people who learn to do two things at the same time. They can answer practical questions on the telephone (which uses the left brain) and at the same time play the piano(which uses the right brain),but this is not easy to do. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น