English Is Fun
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
verbs
Welcome to English Time ... Please learn more about verbs on this VDO . ^^
What are Verbs? Word that describe an action. Watch this video to learn about verbs,Thank you for to watching.
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557
สำนวนภาษาอังกฤษ:idiom
สำนวนภาษาอังกฤษ:idiom
สำนวนภาษาอังกฤษ:idiom หมวดสัตว์
an ass in a lion's
skin คนขี้ขลาดตาขาวที่คุยโตความหมายตามรูปศัพท์
ลาที่หุ้มกายใต้หนังราชสีห์ บางครั้งจึงใช้ donkey in a lion's hide
a bull in china shop คนมุทะลุ
ขาดความรอบคอบ
ความหมายตามรูปศัพท์ กระทิงเปลี่ยวในร้านขายเครื่องลายคราม
cat's paw คนที่ตกเป็นเครื่องมือ
ความหมายตามรูปศัพท์ อุ้งเท้าเเมว
*ที่มาจากนิทานอีสปเรื่อง ลิงกับเเมว เล่าไว้ว่า
ลิงเจ้าเล่ห์หลอกใช้ให้เเมวเก็นเกาลัดในกองไฟ ในที่สุดอุ้งเท้าเเมวก็ถูกไฟลวก
ในขณะที่ลิงก็เอาเกาลัดไปกินจนหมด
let the cat out of the bag เผลอเปิดเผยความลับความหมายตามรูปศัพท์
ปล่อยเเมวออกจากกระเป๋า
*ที่มาจากการค้าเเถมตะวันตก
ที่มีพ่อค้าเอาเเมวใส่ถุงไปหลอกขายว่าเป็นหมู
เเต่ลูกค้าก็ขอให้พ่อค้าเปิดกระเป๋าเสียก่อน
to rain cats and dogs ฝนตกไม่ลืมหูลืมตาความหมายตามรูปศัพท์
ฝนตกเหมือนหมากับเเมวทะเลาะกัน
a dog in the manger หมาหวงก้าง
ความหมายตามรูปศัพท์ สุนัขในรางหญ้า
*ที่มาจากนิทานอีสป เล่าไว้ว่า สุนัขตัวหนึ่งมักนอนในรางหญ้า
ตัวมันเองไม่เคยคิดจะกินหญ้านั้น เเต่ก็ไม่ยอมให้ม้าเฉียดเข้ามากิน
to run with the hare and hunt with the hounds นก2หัว ตี2หน้า
ความหมายตามรูปศัพท์ วิ่งไปกับกระต่ายป่า
เเต่กลับออกล่าเหยื่อกับหมาล่าเนื้อ
look a gift horse in the mouth ติของที่ผู้อื่นให้ความหมายตามรูปศัพท์
สำรวจปากม้าที่ผู้อื่นให้เป็นของขวัญ
*ในสมัยโบราณผู้คนนิยมส่งม้าเป็นของขวัญให้กัน เเต่เมื่อได้รับม้า
ก็ต้องอ้าปากม้าเพื่อนับฟัน จะได้คำนวณอายุได้ถูกต้อง)
straight from the horse's mouth ข่าวกรอง
ความหมายตามรูปศัพท์ ได้รับจากปากม้าโดยตรง
*มีที่มาจากการเเข่งม้าในสมัยโบราณ
เป็นการอวดอ้างอย่างมั่นใจของคนที่คอบบอกข่าวเเก่นักพนันม้า
a pig in a poke ซื้อของโดยไม่เห็นสินค้าความหมายตามรูปศัพท์
หมูในถุงย่าม
*มีที่มาเช่นเดียวกับสำนวน let the cat out of the bag
the black sheep เเกะดำ
ความหมายตามรูปศัพท์ เเกะสีดำ
**สำนวนนี้มักใช้เปรียบกะบคนที่นำความเสื่อมเสียมาสู้ครอบครัวหรือหมู่คณะ
สำนวนภาษาอังกฤษ:idiom หมวดอาหาร
in apple-pie order เป็นระเบียบเรียบร้อย
ความหมายตามรูปศัพท์ ตามลำดับแอปเปิ้ลพาย
(มีที่มาจากการทำพายแอปเปิ้ล ที่ต้องทำทุกๆขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย)
*มักใช้กับกริยา be/have/keep/put
a bread-and-butter letter จดหมายขอบคุณในความมีน้ำใจ
ความหมายตามรูปศัพท์ จดหมายขนมปังทาเนย
to know which side one's bread is buttered รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์กับตนเอง
ความหมายตามรูปศัพท์ รู้ว่าด้านในของขนมปังมีเนยทาอยู่
to have one's bread buttered on both sides สภาพเเวดล้อมที่ยอดเยี่ยม ดวงกำลังขึ้น ชีวิตที่สุขสบายความหมายตามรูปศัพท์ ขนมปังที่มีเนยทาอยู่ทั้งสองด้าน
a piece of cake เรื่องง่ายๆ
หวานหมู หวานคอเเร้ง
ความหมายตามรูปศัพท์ ขนมเค้กชิ้นหนึ่ง
(เป็นการเปรียบเทียบกับการทานขนมเค้กที่เป็นเรื่องที่เเสนง่ายดาย)
eat one's cake and have it too จะเอาทั้งขึ้นทั้งล่องความหมายตามรูปศัพท์ รับประทานขนมเค้กเเต่ก็ไม่อยากให้หมด
*to sell the cow and drink the milk
to be caviare to the general ของที่สูงส่งเกินไปสำหรับคนธรรมดา(อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบ)ความหมายตามรูปศัพท์ เป็นคาเวียร์ในสายตาคนทั่วไป
(ในสมัยโบราณคาเวียร์ถือเป็นอาหารเลิศรสสำหรับคนชั้นสูง เเละยังมีราคาเเพง
เเต่ด้วยรสชาติพิเศษของมัน คนธรรมดาเองก็อาจไม่ชื่นชอบได้)
chalk to cheese เเตกต่างราวฟ้ากับดิน
ความหมายตามรูปศัพท์ เเตกต่างเหมือนชอล์กกับเนยเเข็ง
to make chalk of one and cheese of the other ไม่ให้ความเสมอภาค เลือกที่รักมักที่ชังความหมายตามรูปศัพท์ ให้ชอล์กกับคนหนึ่ง
ให้เนยเเข็งกับอีกคนหนึ่ง
put all one's eggs in one basket ทุ่มสุดตัว เสี่ยงเกินไป
ความหมายตามรูปศัพท์ นำไข่ไก่ทั้งหมดใส่ในตระกร้าใบเดียว
ที่มารูปภาพ http://www.getfrank.co.nz/assets/images/Fullwidth/_resampled/ResizedImage600468-Eggs.JPG
ความหมายตามรูปศัพท์ กระทิงเปลี่ยวในร้านขายเครื่องลายคราม
ความหมายตามรูปศัพท์ อุ้งเท้าเเมว
*ที่มาจากนิทานอีสปเรื่อง ลิงกับเเมว เล่าไว้ว่า ลิงเจ้าเล่ห์หลอกใช้ให้เเมวเก็นเกาลัดในกองไฟ ในที่สุดอุ้งเท้าเเมวก็ถูกไฟลวก
ในขณะที่ลิงก็เอาเกาลัดไปกินจนหมด
*ที่มาจากการค้าเเถมตะวันตก ที่มีพ่อค้าเอาเเมวใส่ถุงไปหลอกขายว่าเป็นหมู เเต่ลูกค้าก็ขอให้พ่อค้าเปิดกระเป๋าเสียก่อน
ความหมายตามรูปศัพท์ สุนัขในรางหญ้า
*ที่มาจากนิทานอีสป เล่าไว้ว่า สุนัขตัวหนึ่งมักนอนในรางหญ้า ตัวมันเองไม่เคยคิดจะกินหญ้านั้น เเต่ก็ไม่ยอมให้ม้าเฉียดเข้ามากิน
ความหมายตามรูปศัพท์ วิ่งไปกับกระต่ายป่า เเต่กลับออกล่าเหยื่อกับหมาล่าเนื้อ
*ในสมัยโบราณผู้คนนิยมส่งม้าเป็นของขวัญให้กัน เเต่เมื่อได้รับม้า ก็ต้องอ้าปากม้าเพื่อนับฟัน จะได้คำนวณอายุได้ถูกต้อง)
ความหมายตามรูปศัพท์ ได้รับจากปากม้าโดยตรง
*มีที่มาจากการเเข่งม้าในสมัยโบราณ เป็นการอวดอ้างอย่างมั่นใจของคนที่คอบบอกข่าวเเก่นักพนันม้า
*มีที่มาเช่นเดียวกับสำนวน let the cat out of the bag
ความหมายตามรูปศัพท์ เเกะสีดำ
**สำนวนนี้มักใช้เปรียบกะบคนที่นำความเสื่อมเสียมาสู้ครอบครัวหรือหมู่คณะ
ความหมายตามรูปศัพท์ ตามลำดับแอปเปิ้ลพาย (มีที่มาจากการทำพายแอปเปิ้ล ที่ต้องทำทุกๆขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย)
*มักใช้กับกริยา be/have/keep/put
ความหมายตามรูปศัพท์ จดหมายขนมปังทาเนย
ความหมายตามรูปศัพท์ รู้ว่าด้านในของขนมปังมีเนยทาอยู่
ความหมายตามรูปศัพท์ ขนมเค้กชิ้นหนึ่ง (เป็นการเปรียบเทียบกับการทานขนมเค้กที่เป็นเรื่องที่เเสนง่ายดาย)
*to sell the cow and drink the milk
ความหมายตามรูปศัพท์ เเตกต่างเหมือนชอล์กกับเนยเเข็ง
ความหมายตามรูปศัพท์ นำไข่ไก่ทั้งหมดใส่ในตระกร้าใบเดียว
การใช้คำแสดงความถี่ (Adverbs of Frequency)
การใช้คำแสดงความถี่
คำแสดงความถี่ หรือความบ่อย (Adverbs of Frequency) ใช้แสดงความถี่ หรือความบ่อยของการกระทำใน The Simple Present Tense หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะช่วยตอบคำถามที่ขึ้นต้น “How often ……..?” หรือ “How frequently ……?” คำแสดงความถี่ หรือความบ่อยที่ควรทราบได้แก่คำต่อไปนี้ always, usually, often, sometimes, rarely, never ซึ่งคำแสดงความถี่นี้จะแสดงความถี่ของการกระทำต่างกันตามลำดับจากมากสุดไปหาน้อยสุด ดังนี้
100% always
80% usually
often
50% sometimes
20% rarely
seldom
0% never
ตัวอย่างการใช้
I always brush my teeth before I go to bed.
I usually have toast for breakfast.
I often go to the park with my dog.
I sometimes drinks tea.
I rarely smoke cigars.
I seldom have a chance to go to the theatre.
I never work on the weekend.
ตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย (Adverbs of Frequency)
ตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย มักจะอยู่ระหว่างประธานและคำกริยาแท้ (main verb) ของประโยค ยกเว้นเมื่อคำกริยาแท้เป็น verb to be จะวางไว้หลัง verb to be เสมอ หรือให้จำว่า “ตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะอยู่หน้ากริยาแท้หลัง verb to be” ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. ในประโยคบอกเล่า
ในประโยคบอกเล่าคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะอยู่หน้ากริยาแท้
Subject + adverbs of frequency + main verb (เมื่อไม่ใช่ verb to be)
The teacher always shouts at the class.
The student often talks in class.
Subject + main verb (verb to be) + adverbs of frequency
She is always late for her morning class.
The weather in Singapore is never cold.
2. ในประโยคปฏิเสธ
ในประโยคปฏิเสธตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย ก็ยังคงยึดหลักเช่นเดียวกับประโยคบอกเล่า คือ ให้วางคำแสดงความถี่ หรือความบ่อยไว้หลังคำแสดงปฏิเสธ (not)
Subject + do/does not + adverbs of frequency + main verb
The manager does not often drive his car to work.
Bob is not usually happy at work.
3. ในประโยคคำถาม
ในประโยคคำถามตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะอยู่หลังประธานของประโยค
Do/Does + Subject + adverbs of frequency + main verb (ไม่ใช่ verb to be)
Verb to be + Subject + adverbs of frequency + …
Do your sons sometimes travel by train?
Does your father usually walk to the office?
Is your brother often late for work?
ข้อสังเกต
1. sometimes, often และ usually ยังสามารถวางไว้ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้ เช่น
Sometimes they come and stay with us.
I play tennis sometimes.
Usually I do my homework in the evening.
He watches TV. Very often.
Do you drink whiskey often?
2. rarely (ไม่ค่อยจะ) และ seldom (ไม่ค่อยจะ) ยังสามารถวางไว้ท้ายประโยคได้ แต่มักจะมีคำว่า very อยู่ด้วย เช่น
We see them rarely.
John eats meat very seldom.
80% usually
often
50% sometimes
20% rarely
seldom
0% never
ตัวอย่างการใช้
I always brush my teeth before I go to bed.
I usually have toast for breakfast.
I often go to the park with my dog.
I sometimes drinks tea.
I rarely smoke cigars.
I seldom have a chance to go to the theatre.
I never work on the weekend.
ตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย (Adverbs of Frequency)
ตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย มักจะอยู่ระหว่างประธานและคำกริยาแท้ (main verb) ของประโยค ยกเว้นเมื่อคำกริยาแท้เป็น verb to be จะวางไว้หลัง verb to be เสมอ หรือให้จำว่า “ตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะอยู่หน้ากริยาแท้หลัง verb to be” ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. ในประโยคบอกเล่า
ในประโยคบอกเล่าคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะอยู่หน้ากริยาแท้
The student often talks in class.
Subject + main verb (verb to be) + adverbs of frequency
She is always late for her morning class.
The weather in Singapore is never cold.
2. ในประโยคปฏิเสธ
ในประโยคปฏิเสธตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย ก็ยังคงยึดหลักเช่นเดียวกับประโยคบอกเล่า คือ ให้วางคำแสดงความถี่ หรือความบ่อยไว้หลังคำแสดงปฏิเสธ (not)
Bob is not usually happy at work.
3. ในประโยคคำถาม
ในประโยคคำถามตำแหน่งของคำแสดงความถี่ หรือความบ่อย จะอยู่หลังประธานของประโยค
Does your father usually walk to the office?
Is your brother often late for work?
ข้อสังเกต
1. sometimes, often และ usually ยังสามารถวางไว้ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้ เช่น
Sometimes they come and stay with us.
I play tennis sometimes.
Usually I do my homework in the evening.
He watches TV. Very often.
Do you drink whiskey often?
2. rarely (ไม่ค่อยจะ) และ seldom (ไม่ค่อยจะ) ยังสามารถวางไว้ท้ายประโยคได้ แต่มักจะมีคำว่า very อยู่ด้วย เช่น
We see them rarely.
John eats meat very seldom.
Exercises
A. Put the adverb of frequency on the right place
1. He listens to the radio. (often)
_____________________________
2. They read a book. (sometimes)
_____________________________
3. Pete gets angry. (never)
_____________________________
4. Tom is very friendly. (usually)
_____________________________
5. I take sugar in my coffee. (sometimes)
_____________________________
6. Ramon is hungry. (often)
_____________________________
7. My grandmother goes for a walk in the evening. (always)
_____________________________
8. Walter helps his father in the kitchen. (usually)
_____________________________
9. They watch TV in the afternoon. (never)
_____________________________
10. Christine smokes after dinner. (seldom)
_____________________________
Answers
1. He often listens to the radio.
2. They sometimes read a book.
3. Pete never gets angry.
4. Tom is usually very friendly.
5. I sometimes take sugar in my coffee.
6. Ramon is often hungry.
7. My grandmother always goes for a walk in the evening.
8. Walter usually helps his father in the kitchen.
9. They never watch TV in the afternoon.
10. Christine seldom smokes after dinner.
B. Put the adverb of frequency on the right place
1. He plays golf on Sundays. (sometimes)
_____________________________
2. The weather is bad in November. (always)
_____________________________
3. It rains in California. (never)
_____________________________
4. We have fish for dinner. (seldom)
_____________________________
5. She will see him. (rarely)
_____________________________
6. Peter doesn´t get up before seven. (usually)
_____________________________
7. They do not play tennis on Sundays. (always)
_____________________________
8. Mary watches TV. (hardly / ever)
_____________________________
9. I go to school by bus. (always)
_____________________________
10. I get up at seven. (usually)
_____________________________
11. I watch TV in the evening. (often / frequently)
_____________________________
12. I have lunch in a restaurant. (sometimes)
_____________________________
13. I have breakfast. (seldom)
_____________________________
14. I arrive late. (never)
_____________________________
15. I have homework. (every day)
_____________________________
Answers
1. He sometimes plays golf on Sundays.
2. The weather is always bad in November.
3. It never rains in California.
4. We seldom have fish for dinner.
5. She will rarely see him.
6. Peter doesn´t usually get up before seven.
7. They do not always play tennis on Sundays.
8. Mary hardly watches TV.
9. I always go to school by bus.
10. I usually get up at seven.
11. I often watch TV in the evening.
12. I sometimes have lunch in a restaurant.
13. I seldom have breakfast.
14. I never arrive late.
15. I have homework every day.
หลักและวิธีการอ่าน(การอ่านป้ายประกาศ,การอ่านหนังสือพิมพ์,การอ่านบทความ)
หลักและวิธีการอ่าน
1.
รู้จักประเภทและชนิดของเรืองทีเรากำลังอ่าน ว่าเป็นประเภทแบบใด
และรู้ว่าอะไรคือสิงทีเรา ต้องค้นหาจากสื่อประเภทนี้
2.
รู้ความหมายของคำศัพท์และตีความเรืองทีอ่านได้ ซึงการศึกษาคำศัพท์เป็นสิงจำเป็นมากสำหรับ
การอ่านสื่อภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถตีความและเข้าใจเรืองทีเราอ่านได้เลย
หากเราไม่รู้คำศัพท์หรือไม่สามารถเดาคำศัพท์ได้
3.
จับใจความสำคัญของเรืองทีเราอ่านได้ รู้ว่าประโยคใดคือใจความสำคัญ
(Main Idea) ประโยคใด คือใจความสนับสนุน(Support
Sentences)
4.
มีความเข้าใจในรายละเอียดของเรืองทีเราอ่าน และสามารถตอบคำถามได้ว่าใคร
ทำอะไร ทีไหน เมือไหร่ กับใคร อย่างไร เพราะอะไร
5.
ทีสำคัญทีสุด เราจะต้องสามารถสรุปเรืองทีอ่าน และแสดงความคิดเห็น
หรือข้อเสนอแนะต่างๆ ได้
6.
อ่านโจทย์และคำตอบก่อน แล้วจึงกลับไปอ่านข้อความ
เพื่อจะได้หาส่วนทีเกี่ยวข้องในข้อความ เพื่อเป็นการลดเนื้อหาทีจะหา และเป็นการประหยัดเวลาในการอ่านในส่วนทีไม่เกี่ยวข้อง
การอ่านป้ายประกาศ
ป้ายประกาศในภาษาอังกฤษมีให้เห็นทั่วไปในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ
สำนักงาน หรือบริษัทห้างร้าน ซึ่งถ้อยคำและสำนวนที่ใช้
จะไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักในภาษาพูด หรือภาษาเขียน ป้าย ประกาศโดยหลักๆแบ่งบอกเป็น 4
ประเภท คือ
1. ป้ายให้ข้อมูล
2. ป้ายสั่งให้ทำ
3. ป้ายห้ามทำ
4. ป้ายแนะนำ หรือเตือนให้ระวังอันตราย หลักในการอ่านป้ายประกาศมีดังนี้
1.
การอ่านป้ายประกาศเป็นการอ่านเพื่อเก็บข้อมูล จึงไม่จำเป็นต้องอ่านในทุกรายละเอียด
2.
วิธีการอ่านแบบผ่านๆ(Scanning) จะช่วยให้เลือกอ่านสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น
3.
ถ้ารู้ความหมายของศัพท์และคำย่อต่างๆจะอ่านได้เข้าใจดีขึ้น
ตัวอย่างป้ายประกาศ Executive Secretary
1.
Female age
between 28 – 33 years
2.
Bachelor’s
degree, Major in English
3.
Minimum 3 years
experiences in secretarial works
4.
Fluent in English
and able to handle correspondence independently
5.
Some knowledge in
Administrative and Personnel preferable
Attractive remuneration
package will be offered to the right candidates . Interested persons please write with full resume and details to
:
Khun Suda Muangsook,
CMC Biotech Co., Ltd.
1433 Soi 3/3 Mooban
Town–in-Town Lardphrao 94 Rd,
Bangkapi, Bangkok 10310
Tel :
02-559-3261-2 FAX : 02-539-6903
การอ่านหนังสือพิมพ์
คนส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่าหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก็ส่ายหน้าแล้ว การที่มันยากอาจจะเป็น เพราะเรายังไม่รู้จักส่วนประกอบของหนังสือพิมพ์และข่าวดีพอ
ถ้าหากเรารู้จักและเข้าใจมันอาจทำให้คุณ รู้สึกดีขึ้นและพร้อมที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ซึงเป็นแหล่งสาระความรู้และบันเทิงที่คุณหาอ่านได้ทุกวัน
และจะ ทำให้คุณรอบรู้ทันเหตุการณ์ไม่แพ้ใคร
รูปแบบข่าวทั่วๆไปจะประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ
3 ส่วนด้วยกันคือ
1.
ส่วนที่หนึ่งนี้เขาเรียกมันว่า Headline กันค่ะ หรือจะเรียกว่าหัวข่าว หรือข่าวพาดหัวก็ได้
ตามแต่จะถนัด เจ้าส่วนนี้จะเป็นเนื้อหาของข่าวทีสรุปความสำคัญของข่าว จะมีการใช้ศัพท์เฉพาะ
โครงสร้าง ประโยคทีแตกต่างไปจากประโยคภาษาอังกฤษธรรมดา แล้ว Headline นี้เขาจะเขียนหรือพิมพ์ด้วย
ตัวหนังสือตัวโตสีดำเข้มเสมอ
2.
ต่อมาส่วนที่สองก็คือ Lead หรือข้อความนำ ก็จะเป็นข้อความในย่อหน้าแรกของข่าวซึง จะสรุปใจความสำคัญของข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง
ก็เหมือนกับการขยาย Headline เผยให้ผู้อ่านรู้เรื้องขึ้นมาอีก นิด แต่ไม่ให้รู้หมด
3.
ส่วนที่สามเรียกว่า Body จะเป็นส่วนย่อหน้าที่เหลือทังหมด จะบอกรายละเอียดของเนื้อ
ข่าวว่าเขาทำอะไร อย่างไร ที่ไหน ขยายข้อเท็จจริงจากข้อความนำอีกทีหนึ่ง อาจมีข้อความที่เป็นคำพูดของ
บุคคลที่ตกเป็นข่าว ข้อคิดเห็น และบทสรุปเจ้าส่วนนี้จะบอกรายละเอียดทั้งหมด
หลักในการอ่านทั่วๆไปก็ คือต้องตังคำถาม What? เกิดอะไรขึ้น,
Where? ทีไหน, When? เมือไหร่, Why? ทำไม, How? อย่างไร, Result? ผลเป็นอย่างไร
ขณะอ่านไป จะช่วยให้เราเข้าใจข่าวได้ดีขึ้น
ตัวอย่างที 1
Australia's national football team defeated Thailand 4-0 Monday
night to stay alive in the Asian Cup. Striker Mark Viduka scored twice in three
minutes to give the Socceroos their much-needed win after they absorbed waves
of Thai attacks. The score did not reflect the immense pressure the Socceroos
had to endure in a tense second half before Viduka gave his team a lifeline
into the quarter-finals. Australia now faces Asian powerhouse Japan in Hanoi on
Saturday night.
คำศัพท์น่ารู้
"Stay alive" = มีชีวิตอยู่
Much-needed = ที่จำเป็นมากๆ
Absorbed = ซึมซับ, รับรู้
Endure = ยืนหยัด,
คงทน Lifeline = ในที่นี้หมายถึง
ประตูทีช่วยชีวิตทีมไว้ไม่ให้ตกรอบ
Powerhouse = มีอำนาจหรือมีอิทธิพลมาก
คำแปล
นักเตะแดนจิงโจ้ดับฝันทีมไทยเข้ารอบรองชนะเลิศ ทีมฟุตบอลออสเตรเลียเอาชนะทีมไทยไปด้วย ประตู
4-0 เมือคืนวันจันทร์ ลอยลำเข้ารอบไปในศึกเอเชียนคัพ ตัวยิงประตู มาร์ค ไวดูกา ทำไปสองประตูใน
เวลาเพียงสามนาที ช่วยให้ทีมจากแดนจิงโจ้ได้ชัยชนะไปในนัดชีชะตา หลังจากที่เผชิญระรอกคลื่นการบุก
จากไทย การทำคะแนนไม่ได้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่ทีมนักเตะแดนจิงโจ้ต้องยืนหยัด ใน การเตะครึ่งหลังที่ตึงเครียด ก่อนที่ไวดูกาจะดึงทีมไปสู่รอบรองชนะเลิศ
ออสเตรเลียต้องไปเจอทีมไม้แข็ง ของเอเชียอย่างญี่ปุ่น ในสนามเตะที่กรุงฮานอยในคืนวันเสาร์
ตัวอย่างที 2
Apple's heavily hyped iPad went on sale Saturday in the United
States. Excited customers were crowding to get their hands on what some see as
a "game changer" in the computer industry. The Apple flagship store
in New York greeted hundreds of people who had waited since just after dawn.
Many of the shoppers were from outside the United States, which is initially
the only country to sell the touch-screen tablet, retailing at between $499 and
$829.
คำศัพท์น่ารู้
Hyped = ที่ถูกสร้างกระแสอย่างน่าตื่นเต้นและน่า สนใจ
To get their hands on = ได้บางอย่างมาเป็นเจ้าของ
Game changer = สิ่งที่เปลี่ยนเกม
นั่นก็คือสินค้าที่เปลี่ยนรูปแบบของการแข่งขันในวงการนั้นๆ เมื่อ ออก สู่ตลาด
ทำให้คู่แข่งต้องกระตือรือร้นมากขึ้น
Flagship store = ร้านสาขาหลักและใหญ่ทีสุด
Touch-screen = จอสัมผัส
คำแปล
ไอแพดที่เป็นทีฮือฮาออกสู่ตลาดแล้วสินค้า
ไอแพดที่กระแสแรงเป็นที่รอคอยของแฟนๆ แอปเปิ้ล เริ่มขายแล้วใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันเสาร์ทีผ่านมา
เหล่าลูกค้าที่ตื่นเต้นต่างรอเข้าคิวเพื่อที่ จะได้เป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่หลายๆ
คนยกให้ว่าเป็นตัวแปรที่จะเปลี่ยน
โฉมหน้าของวงการคอมพิวเตอร์ใน อนาคต ร้าน
สาขาหลักของแอปเปิลในนิวยอร์กเปิดประตูต้อนรับแฟนหลายร้อยคนที่
เริมรอต่อคิวตังแต่เช้า มืด ลูกค้าหลายๆคนลงทุนเดินทางมาจากนอกสหรัฐ
อเมริกาซึงในช่วงแรกเป็นประเทศเดียวทีขายอุปกรณ์จอสัมผัสชิ้นนี้ ในราคาระหว่าง 499
ถึง 829 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ
การอ่านบทความ
การอ่านมีหลายระดับ และมีวิธีการต่าง ๆ ตามความมุ่งหมายของผู้อ่าน และประเภทของสื่อการอ่าน
การอ่านเพื่อการศึกษา ค้นคว้าและเขียนรายงาน อาจใช้วิธีอ่านต่าง ๆ เช่น การอ่านสำรวจ
การอ่านข้าม การ อ่านผ่าน การอ่านจับประเด็น การอ่านสรุปความและการอ่านวิเคราะห์ ซึ่งมีรายละเอียด
ดังนี้
1. การอ่านสำรวจ คือ
การอ่านข้อเขียนอย่างรวดเร็ว เพื่อรู้ลักษณะโครงสร้าง สำนวนภาษา เนื้อเรื่อง โดยสังเขป
เป็นวิธีอ่านที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเลือกสรรสิ่งพิมพ์ สำหรับใช้ประกอบการค้นคว้า
หรือ การหาแนวเรื่องสำหรับเขียนรายงาน และรวบรวมบรรณานุกรมในหัวข้อที่เขียนรายงาน
2. การอ่านข้าม (Skimming Reading)
เป็นวิธีอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าใจเนื้อหาของข้อเขียน โดย เลือกอ่านเพียงบางตอน
เช่น อ่านคำนำ สาระสังเขป บทสรุป และการอ่านเนื้อหาเฉพาะตอนทีตรงกับความ ต้องการเป็นต้น
3. การอ่านผ่าน เป็นการอ่านแบบกวาดสายตา (Scanning
Reading) โดยการกวาดสายตาอย่าง รวดเร็วไปยังสิ่งที่เป็นเป้าหมายในข้อเขียนเช่น
คำสำคัญ หรือ สัญลักษณ์ แล้วอ่านรายละเอียดเฉพาะที่ เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการ เช่น การอ่านเพื่อค้นหาชื่อในพจนานุกรม
และการอ่านแผนที่ เป็นต้น
4. การอ่านจับประเด็น หมายถึง การอ่านเรืองหรือข้อเขียนโดยทำความเข้าใจสาระสำคัญในขณะที่
อ่าน มักใช้ในการอ่าน ข้อเขียนที่ไม่ยาวนัก เช่น บทความ การอ่านเร็ว ๆ หลายครั้งจะช่วยให้จับประเด็นได้โดยการอ่านมีเทคนิคคือต้องสังเกตคำสำคัญ
ประโยคสำคัญทีมีคำสำคัญ และทำการย่อสรุปบันทึกประโยค สำคัญไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
5. การอ่านสรุปความ หมายถึง การอ่านโดยสามารถตีความหมายสิงที่อ่านได้ถูกต้องชัดเจนเข้าใจ
เรืองอย่างดี สามารถแยกส่วนที่สำคัญหรือไม่สำคัญออกจากกัน รู้ว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง
หรือข้อคิดเห็น ส่วนใดเป็นความคิดหลัก ความคิดรอง การอ่านสรุปความมีสองลักษณะคือ การสรุปแต่ละย่อหน้าหรือแต่ละ
ตอน และสรุปจากทังเรื่อง หรือทังบท การอ่านสรุปความควรอ่านอย่างคร่าว ๆ ครั้งหนึ่งพอให้รู้เรื่อง
แล้ว อ่านละเอียดอีกครั้งเพื่อเข้าใจเรืองอย่างดี หลังจากนั้นตั้งคำถามตนเองในเรื่องที่อ่านว่าเกี่ยวกับอะไร
มี เรื่องราวอย่างไร แล้วเรียบเรียงเนื้อหาเป็นสำนวนภาษาของผู้สรุป
6. การอ่านวิเคราะห์
การอ่านเพื่อค้นคว้าและเขียนรายงานโดยทั่วไปต้องมีการวิเคราะห์ความหมาย ของข้อความ ทั้งนี้เพราะ
ผู้เขียนอาจใช้คำและสำนวนภาษาในลักษณะต่าง ๆ อาจเป็นภาษาโดยตรงมีความ ชัดเจนเข้าใจง่าย
ภาษาโดยนัยที่ต้องทำความเข้าใจ และภาษาที่มีความหมายตามอารมณ์และความรู้สึกของ ผู้เขียน
ผู้อ่านทีมีความรู้เรื่องคำศัพท์และสำนวนภาษาดี มีประสบการณ์
ในการอ่านมากและมีสมาธิในการ อ่านดี ย่อมสามารถวิเคราะห์ได้ตรงความหมายทีผู้เขียนต้องการสื่อ
และสามารถเข้าใจเรื่องทีอ่านได้ดี นักอ่านที่ดีควรรู้จักเลือกว่าเมื่อใดควรอ่านละเอียด
เมื่อใดควรอ่านคร่าวๆ บางเรื่องต้องการความเข้าใจลึกซึง บางเรื่องไม่จำเป็นต้องอ่านละเอียด
บางเรื่องอ่านเพียงเพื่อจับใจความสำคัญเท่านั้น วิธีการช่วยให้อ่านได้เร็ว ขึ้น คืออ่านนำร่อง ( Pre-reading ) Pre-reading อ่านอย่างเร็วเพื่อให้ได้ภาพรวมๆของเรื่อง
ทำได้ดังนี้
1.
อ่านชื่อเรื่องและหัวข้อรอง( Title and subtitle )
2.
อ่าน paragraph
แรก
3.
สังเกตพวกภาพประกอบถ้ามีได้แก่ กราฟ รูปภาพ ไดอะแกรม
เป็นต้น
4.
อ่านประโยคแรกและสุดท้ายของแต่ละ paragraph ที่เหลือ
5. อ่าน paragraph สุดท้ายหรือสรุปเรื่องเพราะเป็นตัวช่วยทีจะบอกใจความสำคัญหรือจุดประสงค์ของเรื่อง
6. ในขณะทีอ่านลองตังคำถามในใจดังนี้
- คุ้นเคยกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ถ้าคุ้นเคยจินตนาการตามไปด้วย
-เรืองทีอ่านเป็นเรืองทางวิทยาศาสตร์ สังคม หรืออะไร
�.
จุดประสงค์ของผู้แต่งคืออะไร
�.
หาใจความหลักได้หรือไม่
-ตังคำถามอะไรได้บ้างในเรืองทีอ่านนี้
ตัวอย่างการอ่านบทความ
What do Leonardo da Vinci, Paul
McCartney, and Julia Roberts have in common? They are all left-handed. Today
about 15 percent of the population is left-handed. But why are people
left-handed? The answer may be in the way the brain works.
Our brain is like a message center. Each second, the brain
receives more than a million messages from our body and knows what to do with
them. People think that the weight of the brain tells how intelligent you are,
but this isn't true. Albert Einstein's brain weighed 1,375 grams, but less
intelligent people have heavier brains. What is important is the quality of the
brain. The brain has two halves - the right brain and the left brain. Each half
is about the same size. The right half controls the left side of the body, and
the left half controls the right side of the body. One half is usually stronger
than the other. One half of the brain
becomes stronger when you are a child and usually stays the stronger half for
the rest of your life.
The left side of the brain controls the right side of the body, so
when the left brain is stronger, the right hand will be strong and the person
may be right-handed. The left half controls speaking, so a person with a strong
left brain may become a good speaker, professor, lawyer, or salesperson. A
person with a strong left brain may have a strong idea of time and will
probably be punctual. The person may be strong in math and logic and may like
to have things in order. He or she may remember people's name and like to plan
things ahead. He or she may be practical and safe. If something happens to the
left side of the brain, the person may have problems speaking and may not know
what day it is. The right side of his or her body will become weak.
When the right side of the brain is
stronger, the person will have a strong left hand and may be left-handed. The
person may prefer art, music, and literature. The person may become an
artist, a writer, an inventor, a film
director, or a photographer. The person may recognize faces, but not remember names.
The person may not love numbers or business. The person may like to use his or
her feelings, and not look at logic and what is practical. If there is an
accident to the right side of the brain, the person may not know where he or
she is and may not be able to do simple hand movements.
This does not mean that all artists are left-handed
and all accountants are right-handed. There are many exceptions. Some
right-handers have a strong right brain, and some left-handers have a strong
left brain. The best thing would be to use both right and left sides of the
brain. There are people who learn to do two things at the same time. They can
answer practical questions on the telephone (which uses the left brain) and at
the same time play the piano(which uses the right brain),but this is not easy
to do.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)